สมัคร บิตคับ การสมัครกับแอปแลกเปลี่ยนคริปโต ที่หลายคนอาจยังไม่รู้ และจะต้องมีการยืนยันตัวตนด้วยอีก 1 ขั้น โดยก่อนที่จะเข้าสู่การสมัครที่คล้ายกับ เปิดบัญชี binance บทความนี้จะพาไปรู้จักกับแอปพลิเคชันนี้ก่อนว่าคืออะไร ภาษีที่จะต้องเสียหากทำกำไรได้ และลงลึกวิธีการสมัคร
แพลตฟอร์ม Exchange ที่มีความเชี่ยวชาญในด้านสกุลเงินดิจิทัลต่างๆ ซึ่งเป็นสตาร์ทอัพในไทยที่ประสบความสำเร็จอย่างมาก ตลาดการซื้อขายสกุลเงินดิจิทัลให้คนทั่วไป ท่ามกลางกระแส BTC เมื่อ 2020 ด้วยความโดดเด่นของระบบของบิตคับที่สามารถรองรับสกุลเงินไทยจากหลายธนาคารในไทยได้ จึงสามารถซื้อสกุลเงินดิจิทัลได้โดยตรงเลย ซึ่งบริษัทก็มีรายละเอียดต่างๆ ดังนี้
ที่มา: ใครคือ Bitkub ? [1]
ซึ่งรายได้จากการมาของคริปโต ก็สร้างรายได้ให้กับแพลตฟอร์มนี้อย่างมาก โดยเฉพาะในการมาของ Bitcoin halving ใน 2020 ก็ทำให้ให้รายได้และกำไรพุ่งขึ้นสูงมาก ก่อนจะลงมายังจุดต่ำสุด โดยปีนี้เองที่ครบรอบ 4 ปีที่ BTC จะถูกลดการผลิตไปอีกครั้งจึงทำให้รายได้ของ Bitkub กลับมาได้อีกครั้ง
ที่มา: ส่องผลประกอบการ Bitkub กำไรรายได้ ปี 65 ลดฮวบ หลังตลาดซบเซา [2]
สินทรัพย์ดิจิทัลน่าสนใจประเภทหนึ่ง ซึ่งใหม่มากในความนิยม และบางตัวก็มีมานานแล้วเป็นหลาย 10 ปี โดยสกุลเงินนี้ออกแบบมาให้กระจายศูนย์รวมอำนาจแบบการเงินเก่าๆ โดยมีการรักษาความปลอดภัยด้วยการเข้ารหัส บันทึก และแชร์ข้อมูลธุรกรรมไปหลายยูสเซอร์
เหรียญส่วนมากจึงมีความปลอดภัย ไร้การควบคุมโดยบุคคลใดบุคคลหนึ่ง แถมยิ่งธีม decentralization มาแรง ก็ยิ่งทำให้ผู้คนให้ความสนใจในเหรียญต่างๆ จนทำให้มูลค่าเพิ่มยิ่งขึ้น โดยเหรียญยอดนิยมก็จะเป็น BTC, ETH และอีกมากมาย จนเกิดเป็นเหรียญ Token, Stable coin ธุรกิจใหม่อย่าง DApp, Exchange app หรือจำพวก NFT กับ Fan Token ต่างๆ
มาถึงเนื้อหาหลักของบทความนี้แล้ว โดยในการเข้าไปใช้งานแอปพลิเคชันนี้ ก็จะต้องสมัครเข้าใช้งาน โดยขั้นตอนการเปิดบัญชีง่ายๆ ซึ่งไม่ต้องกรอกข้อมูลส่วนตัวลงไปมากมาย เพราะจะมีขั้นตอนการยืนยันตัวแบบ KYC ให้อยู่ โดยวิธีการสมัครขั้นแรกก็จะง่ายๆ ดังนี้
โดยขั้นตอนของการลงทะเบียนนี้เรียกอีกอย่างกว่าการยืนยันตัวแบบ KYC เพื่อความมีตัวตนในการซื้อ-ขาย สกุลเงินดิจิทัลต่างๆได้ โดยขั้นตอนการยืนยันก็อาจจะใช้เวลานาน รวมถึงหลักฐานต่างๆ ด้วย และจะมีวิธีดังนี้
นอกจากกระแสของเหรียญที่มีการผันผวนของสกุลเงินนี้แล้ว ยังมีการเก็บภาษีของคริปโตของประเทศไทยที่ฮือฮาไม่แพ้กัน โดยผู้ที่สามารถทำรายได้ ไม่ว่าจะได้กำไรจากการซื้อเก็บ หรือเก็งกำไรคริปโต ก็จะต้องจ่ายภาษี ณ ที่จ่ายด้วย โดยจะเก็บประมาณ 15% ของกำไรที่ทำได้ [3] ซึ่งภาษีในหมวดของการลงทุนนั้นมีการเก็บอยู่แล้ว โดยจะเก็บอยู่สองแบบ (อย่างใดอย่างหนึ่ง)
แอปซื้อขายแลกเปลี่ยน คริปโตเคอเรนซี่ในประเทศไทย ที่มีหลายเหรียญและประสบความสำเร็จเป็นสตาร์ทอัพในไทย แถมยังสามารถซื้อขายเหรียญได้อย่างง่ายๆ ผ่านธนาคารได้เลย โดยไม่ต้องโอนเหรียญไปมา และหาคนมาแลกเปลี่ยนเงินกับเหรียญด้วย