Menu
Tesla ขาลง ไปเป็นที่เรียบร้อยตั้งแต่ปี 2024 ขึ้นมา แต่ก่อนอื่นก็ต้องยอมรับว่า Tesla และบริษัทขายรถ EV ทั้งหลายต่างประสบความสำเร็จอย่างถล่มทลายท่ามกลาง ธีมใหม่ของโลก โดยล่าสุดตำแหน่งที่ 1 ของเทสล่าก็ต้องสั่นคลอนหลังจากถูกชิงไปเมื่อต้นปี ก่อนจะกลับมาได้ด้วยการหั่นราคาแข่งกับค่ายจีนค่ายหนึ่ง
หุ้นผู้นำรถยนต์ไฟฟ้า ที่มีโปรเจกต์พัฒนาโลกนี้หลายโปรเจกต์ ล่าสุดราคาหุ้นก็ปรับตัวลดลงถึง -32.92% โดยมียอดผลิตและส่งมอบรถในไตรมาสแรกเพียง 386,810 คันเท่านั้น ลดลงกว่า 25% [1] ซึ่งถึงจะเป็นรถคุณภาพ เทคโนโลยีล้ำสมัย แต่ก็มีอีกหลายปัจจัยที่ทำให้ยอดตกแบบนี้ด้วย โดยเฉพาะ EV Car ที่ถูกและดีจากจีน
บทความในหัวข้อนี้จะมาพูดถึงกองทุนที่มีนโยบายลงทุนในหุ้นทั่วโลก แต่เป็นกองทุนที่มีสัดส่วนของหุ้น Tesla เป็น 10-11% ซึ่งจากกราฟถึงจะเป็นช่วง Tesla ขาลง แต่หากพูดถึงระยะยาว หรือดูกราฟที่ผ่านมาก็จะเห็นว่ายอดเพิ่มขึ้นตลอด เพียงแต่ทำยอดไม่ได้ตามที่คาดเท่านั้นเอง แถมในกองทุนเหล่านี้ยังมีการลงทุน สินทรัพย์ลงทุน อื่นกระจายความเสี่ยงด้วย โดยมีรายละเอียดดังนี้
TMB-ES-AUTOMATION
TMB-ES-INTERNET กองทุนแบบ Active มุ่งให้มูลค่าสูงกว่าดัชนี
ที่มา : เงิน 1 บาท ลงทุนอะไรดี?: ลงทุนหุ้น Tesla ผ่านกองทุนรวม [2]
รถยนต์ไฟฟ้า อีกหนึ่งสิ่งประดิษฐ์ที่จะมาตอบโจทย์โลกในธีม Green ซึ่งหลายประเทศก็มีการผลักดันให้ใช้ และมองข้ามปัญหาด้านแบตเตอรี่ไป อย่างเยอรมันที่จะเปลี่ยนประเทศให้ไร้รถยนต์สันดาปภายในปี 2025 นี้ แถมยังมีบริษัทผลิตรถยนต์เริ่มเปลี่ยนไปผลิตในแบบไฟฟ้ากันบ้างแล้วด้วย
ซึ่งไทยเองในฐานะแหล่งผลิตฐานใหญ่มากในอดีต ก็อาจจะได้โอกาสในการผลิตอีกครั้งก็ได้ ซึ่งก็จะได้ทั้ง Know how ความรู้ใหม่ๆ เข้ามาด้วย อีกทั้งไทยเองก็ยังเป็นกำลังซื้อที่ใหญ่ในระดับหนึ่งเลยเกี่ยวกับรถไฟฟ้าสังเกตง่ายๆ จากท้องถนนที่มองไปไม่กี่นาทีก็เจอรถ EV แล้ว และตามเต้นรถมือสองที่มีแต่รถราคาตกที่แบตเสื่อมตามๆ กันไป
หากให้พูดถึงรถยนต์ไฟฟ้าที่น่าซื้อมากที่สุด และดังมากที่สุดก็ต้องพูดถึงเทสล่า ที่มีจุดแข็งด้านเทคโนโลยี และความเป็นแบรนดิ่ง ซึ่งภายหลังก็มีม้ามืดจากค่ายแผ่นดินใหญ่ Build Your Dream (BYD) เข้ามาลงแข่งในตลาดและแย่งสัดส่วนไปมากเกือบครึ่งแล้ว ในบทความนี้จึงมาเทียบสเปคกัน ระหว่างความเป็นแบรนดิ่งผู้นำด้านเทคโนโลยี กับ ความคุ้มถูกและดีเป็นอย่างไรบ้าง