แนะนำ 4 สินทรัพย์ลงทุน สู่อิสรภาพทางการเงิน

สินทรัพย์ลงทุน

สินทรัพย์ลงทุน ในปัจจุบันนั้นเข้าถึงง่ายกว่าเมื่อก่อนมาก เพราะมีทั้งโบรกเกอร์รับลงทุนเกิดขึ้นมามากมาย แถมอายุไม่ถึง 20 ก็สามารถเป็นเจ้าของสินทรัพย์บางอย่างได้แล้ว อย่างตัวบิตคอยน์ หรือคริปโต บางโบรกเกอร์ซื้อกองทุน ซึ่งในบทความนี้ก็จะเป็นการแนะนำกองทุนที่จะนำไปสู่อิสรภาพทางการเงิน ได้ในระดับหนึ่ง พร้อมยกตัวอย่างการลงทุนอย่างง่าย จากงานประจำ

รู้ความหมายของอิสรภาพทางการเงินก่อนเลือก สินทรัพย์ลงทุน

การมีรายได้เข้ามาเรื่อยๆ แม้ในขณะที่หลับอยู่หรือในวันหยุดแม้จะเป็นทศนิยมหรือหลักร้อย ก็เป็นสัญญาณที่ดีในการมีอิสรภาพทางการเงินหรือการงาน Financial Freedom [1] ภาวะการไร้ความกังวลเรื่องเงิน ซึ่งหากมีรายได้เข้ามาต่อเนื่องในระดับหนึ่งแล้ว ก็คือการใช้ชีวิตอยู่ได้โดยไม่ต้องทำงานนั่นเอง ซึ่งเอาง่ายๆ “อิสรภาพทางการเงิน” ก็คือการมีรายได้แบบ Passive มากกว่ารายจ่ายต่อเดือน

ใช่แล้ว จุดเริ่มต้นก็คือการสร้าง Passive Income ด้วยตัวเองก่อน ซึ่งก็คือการเลือกลงทุนใน สินทรัพย์ลงทุน บางอย่าง ไม่ว่าจะใช้เงินหรือแรง แล้วเราได้ผลตอบแทนเรื่อยๆ จนกว่าที่สินทรัพย์ตัวนั้นจะเสื่อมมูลค่าลง อย่างลงทุนไป 100,000 ในหุ้นที่ให้เงินปันผลที่จ่ายทุก 4% ทุกปี เราก็จะมีเงินฟรีๆ 4000 บาท และยังได้ราคาในการเติบโตของหุ้นตัวนั้นๆ ด้วย

 4 สินทรัพย์ลงทุน และความแตกต่างในแต่ละตัว

หัวข้อนี้ก็คือการนำการแนะนำสินทรัพย์ต่างๆ ที่สามารถสร้างเงินให้กับเราได้ในรูปแบบของดอกเบี้ย ปันผล หรือส่วนต่างจากมูลค่าของสินทรัพย์นั้นๆ โดยจะนำเสนอในเรื่องของผลตอบแทน โดยเราจะมาไล่เรียงสินทรัพย์ต่างๆ จากข้างต้นว่าควรเลือก สินทรัพย์ลงทุน ไหน เพื่อรายได้แบบ Passive ซึ่งก็มีสินทรัพย์ดังต่อไปนี้

  • การฝากเงินในธนาคาร 

การออมที่นับว่ามีความเสี่ยงที่ต่ำที่สุด ซึ่งผลตอบแทนก็จะมาในรูปของดอกเบี้ยที่ 0.25 – 1.5% ต่อปี โดยขึ้นอยู่กับนโยบาย  และแต่ละประเภทของบัญชีด้วย ซึ่งปัจจุบันคงไม่มีใครฝากเพื่อหวังกินกำไรจากดอกเบี้ยเป็นหลักแล้ว มันจึงเป็นที่เซฟเงินไว้ เพื่อการนำไปใช้จ่ายต่างๆ ระยะสั้นมากกว่า

  • ลงทุนกับตราสารนี้ 

ก็คือการลงทุนโดยที่เราเป็นเจ้าหนี้ และเงินทุนที่เราลงทุนไปก็จะเป็นเงินที่เราปล่อยกู้ให้กับผู้ที่ออกตราสารได้ อย่างรัฐบาลกับบริษัทต่างๆ ข้อดีของการลงทุนนี้จึงมีความเสี่ยงที่น้อย เพราะหากประเทศไม่ล้มละลายก็ไม่มีทางที่รัฐบาลจะไม่จ่ายหนี้แน่นอน ผลตอบแทนก็ยังน้อยการเงินเฟ้ออยู่ดีที่ 0.4 – 2% ต่อปี ซึ่งเหมาะกับคนที่หาที่พักเงิน การฝากที่จะไม่เสียเงินต้น และได้ดอกเบี้ยมามากกว่าธนาคารแน่ๆ

  • กองทุนอสังหาฯ กับกองทุน REIT

กองทุนที่จะรวมเงินก้อนไปบริหารเกี่ยวกับพวกอสังหาต่างๆ โดยที่เราไม่ต้องลงทุนไปเยอะๆ คนเดียว แถมยังต้องคอยดูแล และหาคนมาเช่าอยู่เรื่อยๆ จึงมีการจัดตั้งกองทุนนี้มาเพื่อความสะดวก ผลตอบแทนก็จะอยู่ในรูปแบบของปันผล และส่วนต่างราคาจากกองทุน ผลตอบแทนเฉลี่ยก็จะอยู่ที่ 4 – 8% ต่อปี ซึ่งจากข้อมูลจาก ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยก็เฉลี่ยอยู่ที่ 7.25% [2] แล้วแต่ประเภทและทำเลของอสังหานั้นๆ ด้วย

  • ลงทุนกับตราสารทุน ก็คือหุ้น

ตราสารที่แสดงสิทธิ์ของการเป็นเจ้าของกิจการ จะมากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับเปอร์เซ็นต์การลงทุน เหมือนเราเอาเงินไปให้บริษัททำธุรกิจ กำไรที่เหลือจากการทำธุรกิจจึงจ่ายแบบปันผลต่อปี และยังได้หรือขาดทุนจากส่วนต่างของราคาหุ้นด้วย อย่างซื้อตอนถูกขายตอนแพง มันจึงมีความผันผวน และรายได้ที่ไม่แน่นอน เช่นปันผลที่แล้วแต่กำไรที่ปีนั้นทำได้ และราคาของหุ้นที่ขึ้นๆ ลงๆ ซึ่งผลตอบแทนเฉลี่ยก็จะอยู่ที่ 8 – 12% ต่อปีเลย

ตัวอย่างการสร้าง Passive Income ง่ายๆ จาก Active Income 

ก่อนอื่น Active Income ก็คือการที่เอาแรง และเวลาของเรา ไปแลกเงินมาใช้ ไม่ว่าจะงานประจำหรือฟรีแลนซ์ ซึ่งจะดีกว่าไหมหากเรานำเงินที่หามาได้จากการทำงาน มาลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ เพราะหากเราสะสมเงินจากการลงทุนได้มากพอ งานก็จะไม่ใช่สิ่งที่ต้องทำอีกต่อไปแล้ว พร้อมตัวอย่างในการลงทุนว่าต้องใช้เงินเท่าไหร่ถึงจะได้เงิน 500 บาทโดยที่เราจะสามารถทำงานน้อยลง และมีเวลามากขึ้น

  • เริ่มที่การฝากเงินในธนาคารที่ให้ผลตอบแทนต่ำที่สุดก่อน ซึ่งในกรณีของดอก 1.5% เราต้องลงทุนมากถึง 12,166,666 บาทเลย จากการคำนวณโดยนำ 500 (บาท) คูณกับ 365 (วัน) และหารด้วย 1.5 (ดอก) นั่นเอง ซึ่งถือว่าใช้เงินเยอะมากๆ ด้วยความเสี่ยงที่ต่ำสุดผลตอบแทนจึงน้อยสุดๆ
  • ในการลงทุนกับลงทุนกับตราสารรัฐบาล ด้วยความเสี่ยงที่สูงกว่าธนาคารเล็กน้อย โดยก็ได้ผลตอบแทนมากขึ้นมาหน่อย แต่ก็ยังน้อยการเงินเฟ้ออยู่ดีที่ 0.4 – 2% ต่อปี ซึ่งหากจะทำเงินได้ 500 บาทต่อวันก็ต้องใช้เงินต้นถึง 9,100,000 บาท ต่อ 1 ครั้ง
  • ต่อมาที่การลงทุนกับกองทุนอสังหาฯ ในส่วนของผลตอบแทนก็จะคล้ายๆ กับหุ้นคือมีเรื่องส่วนต่างของราคากองทุน และเงินปันผล แต่จะได้น้อยกว่าหุ้น และการลงทุนเอง โดยผลตอบแทนที่ 8% การที่จะได้ 500 บาทต่อวันก็ต้องมีเงินลงทุนอยู่ที่ประมาณ 2,300,000 บาท ซึ่งบางตัวยังสามารถได้เงินมากกว่าหุ้นบางตัวอีกด้วย
  • การลงทุนกับหุ้น ในบริษัทต่างๆ ก็จะเข้าใกล้ความจริงขึ้นมาแล้ว เพราะผลตอบแทนที่จะได้กับหุ้นก็อยู่ที่ ประมาณ 8 – 12% ต่อปี การที่จะได้ 500 บาทต่อวันจึงใช้เงินที่น้อยลงมามาก คือ 1,800,000 บาท ซึ่งอาจได้มากกว่านี้หากหุ้นตัวนี้จะโตในระยะยาวได้อย่างหุ้น Nvidia ที่ใน 5 ปีก็โตขึ้นกว่า 1,879.19% (ข้อมูล ณ วันที่ 17/03/2024)

ที่มา : 6การลงทุนสร้างpassive income ทำได้ง่ายๆผ่านมือถือ(พร้อมวิธีซื้อ) | Finansia Funds Online [3]

สรุป สินทรัพย์ลงทุน เพื่อสร้างเงินในอนาคต

สินทรัพย์ลงทุน

ในการลงทุนในแต่ละ สินทรัพย์ลงทุน ก็จะมีความเสี่ยงที่ไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับว่าเราจะรับความเสี่ยงได้มากแค่ไหน ซึ่งการจะได้เงิน Passive Income 500 บาทต่อวันใน 4 แบบนี้ในแบบหุ้นจะดูเป็นไปได้มากที่สุด รองลงมาก็กองทุนอสังหาฯ โดยเราอาจจะค่อยๆ DCA หรือการซื้อทีละนิดอย่างสม่ำเสมอ เพื่อการทบเงินต้นไปอีกและนำปันผลไปลงทุนต่อได้ ในระยะยาวก็อาจจะได้มากกว่าวันละ 500 ก็ได้

Facebook
Twitter
Telegram
LinkedIn
ข้อมูลผู้เขียน

แหล่งอ้างอิง